วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เทศนา 4/12/2559



สรุปคำเทศนาทุ่งนาแห่งการเก็บเกี่ยว”(พระธรรมมัทธิว 9:35-38/ ยอห์น 4:35-36 16)


                                                                              สรุป  โดย:- ศจ. ธีรพันธ์       ขอบใจ



พิจารณาพระคัมภีร์ 2 ตอน
1.มัทธิว 9:35-38   “​พระ​เยซู​ทรง​สงสาร​ประชาชน” (35 ​พระ​เยซู​จึง​เสด็จ​ดำเนิน​ไป​ตาม​นคร​และ​หมู่​บ้าน​โดยรอบ ทรง​สั่ง​สอน​ใน​ธรรม​ศาลา​ของ​เขา ประกาศ​ข่าว​ประเสริฐ แห่ง​แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า ทรง​รักษา​โรค​และ​ความ​ป่วย​ไข้​ทุก​อย่าง​ของ​พล​เมือง​ให้​หาย 36 และ​เมื่อ​พระ​องค์​ทอด​พระ​เนตร​เห็น​ประชาชน​ก็​ทรง​สงสาร​เขา ด้วย​เขา​ถูก​รัง​ควาน​และ​ไร้​ที่​พึ่ง​ดุจ​ฝูง​แกะ​ไม่​มี​ผู้​เลี้ยง 37 แล้ว​พระ​องค์​ตรัส​กับ​พวก​สาวก​ของ​พระ​องค์​ว่า ข้าว​ที่​ต้อง​เกี่ยว​นั้น​มี​มาก​นักหนา แต่​คนงาน​ยัง​น้อย​อยู่​ 38 เหตุ​นั้น​พวก​ท่าน​จง​อ้อน​วอน​พระ​องค์​ผู้​ทรง​เป็น​เจ้า​ของ​นาให้​ส่ง​คนงาน​มา​เก็บ​เกี่ยว​พืชผล​ของ​พระ​องค์)
1)พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไป (1) ตามนคร(ชุมชนเมือง)  (2) หมู่บ้าน(ชุมชนรอบนอก/ชนบท)  และพระองค์ได้กระทำ 3 สิ่งคือ (1) ทรงสั่งสอน(พันธกิจการศึกษา)  (2) ทรงประกาศ(พันธกิจคริสตจักร)และ (3) ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ (พันธกิจการรักษา)
2)พระเยซูทรงทอดพระเนตรและเห็นประชาชน  “ทรงสงสารเขาเพราะเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง” พระเยซูได้อุปมาประชาชนเหมือน 2 สิ่งคือ (1) แกะที่ไม่ผู้เลี้ยง  (2) ทุ่งนาที่ข้าวสุกเหลืองอร่ามพร้อมจะเก็บเกี่ยว
      เอเสเคียลเปรียบเทียบชนชาติอิสราเอลเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง (อสค.34:5-6) พระเยซูเสด็จมาเพื่อเป็นผู้เลี้ยงแกะ แก่ประชาชน (ยอห์น 10:14) พระเยซูมองดูฝูงชนที่ติดตามพระองค์และเปรียบเทียบพวกเขากับทุ่งนาที่ข้าวสุกอร่ามพร้อมจะเก็บเกี่ยวแล้ว (1) ผู้คนพร้อมจะมอบชีวิตแด่พระเยซู   (2) พระเยซูสั่งให้เราอธิษฐาน เพื่อขอให้มีการตอบสนองการทรงเรียกด้วยการถวายตัวรับใช้พระเจ้าจงเตรียมพร้อมเพื่อให้พระเจ้าทรงใช้คุณในการนำผู้อื่นมาถึงพระองค์อาเมน.
2.ยอห์น 4:35-36       “พระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรีย”  ​(35 ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า อีก​สี่​เดือน​จะ​ถึง​ฤดู​เกี่ยว​ข้าว​มิใช่​หรือ เรา​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า เงย​หน้า​ขึ้น​ดู​นา​เถิด ว่า​ทุ่ง​นา​เหลือง​อร่าม ถึง​เวลา​เกี่ยว​แล้ว​ 36 คน​เกี่ยว​ก็​กำลัง​ได้รับ​ค่าจ้าง และ​กำลัง​ส่ำ​สม​พืชผล​ไว้​สำหรับ​ชีวิต​นิรันดร์ เพื่อ​ทั้ง​คน​หว่าน​และ​คน​เกี่ยว​จะ​ชื่น​ชม​ยินดี​ด้วย​กัน​ 37 เพราะ​ใน​เรื่อง​นี้​คำ​ที่​กล่าว​ไว้​นี้​เป็น​ความ​จริง คือ คน​หนึ่ง​หว่าน​และ​อีก​คน​หนึ่ง​เกี่ยว’ 38 เรา​ใช้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ไป​เกี่ยว​สิ่ง​ที่​ท่าน​มิได้​ลง​แรง​ทำ คน​อื่น​ได้​ลง​แรง​ทำ และ​ท่าน​ได้รับ​ประโยชน์​จาก​แรง​ของ​เขา)
1)       เบื้องหลังชาวสะมาเรีย  หลังจากที่อาณาจักรเหนือและเมืองหลวง คือ สะมาเรีย พ่ายแพ้ให้แก่ประเทศอัสซีเรีย ชาวยิวจำนวนมากถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่อัสซีเรีย และอัสซีเรียได้นำชาวต่างชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐานและรักษาความสงบ (2พกษ 17:24) คนยิวที่เหลืออยู่แต่งงานกับชาวต่างชาติและเกิดลูกผสม ชาวยิวอาณาจักรใต้ถือว่าไม่บริสุทธิ์ ชาวยิวแท้เกลียดชังลูกผสมเหล่านี้ และเรียกพวกเขาว่า “ชาวสะมาเรีย” เนื่องจากพวกเขาได้ทรยศต่อชาวยิวด้วยกันและประเทศชาติยิว   = ชาวสะมาเรียได้ตั้งศูนย์กลางการนมัสการขึ้นอีกแห่งหนึ่งบนภูเขาเกริซิม ควบคู่กับพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม
2)       บ่อน้ำของยาโคบ เป็นหนึ่งของทรัพย์สมบัติยาโคบ (ปฐมกาล 33:18-19) น้ำในบ่อนี้ไม่ได้มาจากน้ำพุ แต่มาจากน้ำค้างและน้ำฝนที่ซึมอยู่ใต้ดิน
3)       ผู้หญิงชาวสะมาเรียคนนี้  (1) เป็นชาวสะมาเรีย เป็นกลุ่มลูกผสมที่ชาวยิวเกลียดชัง (2) มีชื่อเสียงไม่ดี และ (3) เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ชายชาวยิวทั่วไปย่อมไม่พูดกับหญิงที่มีคุณสมบัติเช่นนี้  แต่พระเยซูพูดกับเธอ “ข่าวประเสริฐมีไว้สำหรับทุกคน” ไม่ว่าคนนั้นจะมีเชื้อชาติอะไร มีฐานะทางสังคมเช่นใด หรือมีความบาปอะไรในอดีต เราต้องพร้อมแบ่งปันข่าวประเสริฐทุกเวลา และสถานที่ พระเยซูทรงเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐ เราผู้ซึ่งติดตามพระองค์เราพร้อมหรือยัง?
4)       พระเยซูได้สนทนากับหญิงชาวสะมาเรียนคนนี้ ถึงเรื่องอะไรบ้าง? (1) “น้ำ” น้ำดื่มจากบ่อน้ำของยาโคบ ที่พระเยซูขอดื่มจากหญิงชาวสะมาเรีย กับ น้ำที่ธำรงชีวิตซึ่งมาจากพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุแห่งชีวิตดื่มแล้วจะไม่กระหายอีกเลย (วิวรณ์ 21:6;22:17 และอิสยาห์ 55:1)  (2) ปัญหาชีวิตส่วนตัวของหญิงชาวสะมาเรีย โดยพระเยซูตรัสกับนางว่า “ไปเรียกผัวของเจ้ามาที่นี่เถิด” หญิงตอบว่า “ดิฉันไม่มีผัวค่ะ”  พระเยซู “เจ้าพูดถูกแล้วว่าผัวไม่มี”   เพราะได้มีผัวมา 5 คนแล้วและคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ผัวของเจ้า   >เธอเปลี่ยนเรื่องเป็น (3) สถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้า พระเยซูตอบ “ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “สถานที่ใด” แต่ขึ้นอยู่กับ “การรู้ว่าผู้ที่คุณนมัสการอยู่นั้นเป็นใคร?” และอยู่ที่ “ท่าทีภายใน” ของผู้นมัสการ  นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันทราบว่า…..” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราที่พูดกับเจ้าคือท่านผู้นั้น”   หญิงนั้นทิ้งหม้อน้ำไว้ และ เข้าไปในเมืองบอกคนทั้งปวงว่า “มาเถิดมาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัด ซึ่งฉันได้กระทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?
      ข้อ 30 “คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์” ขณะนั้นพวกสาวกที่ออกไปซื้ออาหารได้กลับมา เขาประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครกล้าถามพระองค์และสาวกได้ทูลเชิญพระองค์รับประทานอาหาร  แต่พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เรามีอาหารรับประทานที่ท่านไม่รู้” อาหารจานโปรด!  คือ “การทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ” และได้พูดถึงทุ่งนาที่เหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว….  “เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด”  ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว! การก้มหน้า กับ การเงยหน้า ต่างกันอย่างไร?
  ชาวสะมาเรียเป็นอันมากที่มาจากเมืองนั้น ได้ “ศรัทธา” ในพระองค์ เพราะ “คำพยาน” ของหญิงผู้นั้นที่ว่า “ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้ทำ” พระเยซูเปรียบเทียบ “ผู้คนที่หิวกระหายข่าวประเสริฐ” เหมือนทุ่งนาที่เหลืองอร่ามพร้อมแล้วสำหรับการเก็บเกี่ยว

สดุดี 126.5-6 “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา  ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน   ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้านด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน  นำฟ่อนข้าวของตน              กลับมาด้วย”