สรุปคำเทศนา“ทุ่งนาแห่งการเก็บเกี่ยว”(พระธรรมมัทธิว
9:35-38/ ยอห์น 4:35-36 16)
สรุป โดย:-
ศจ. ธีรพันธ์ ขอบใจ
พิจารณาพระคัมภีร์
2 ตอน
1.มัทธิว
9:35-38 “พระเยซูทรงสงสารประชาชน” (35
พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ
ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ประกาศข่าวประเสริฐ
แห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย
36 และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา
ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง 37 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา
แต่คนงานยังน้อยอยู่ 38 เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์)
1)พระเยซูจึงเสด็จดำเนิน…ไป (1)
ตามนคร(ชุมชนเมือง) (2) หมู่บ้าน(ชุมชนรอบนอก/ชนบท)
และพระองค์ได้กระทำ 3 สิ่งคือ (1) ทรงสั่งสอน(พันธกิจการศึกษา) (2) ทรงประกาศ(พันธกิจคริสตจักร)และ (3)
ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ (พันธกิจการรักษา)
2)พระเยซูทรงทอดพระเนตรและเห็นประชาชน
“ทรงสงสารเขาเพราะเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง”
พระเยซูได้อุปมาประชาชนเหมือน 2 สิ่งคือ (1) แกะที่ไม่ผู้เลี้ยง (2)
ทุ่งนาที่ข้าวสุกเหลืองอร่ามพร้อมจะเก็บเกี่ยว
เอเสเคียลเปรียบเทียบชนชาติอิสราเอลเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง (อสค.34:5-6)
พระเยซูเสด็จมาเพื่อเป็นผู้เลี้ยงแกะ แก่ประชาชน (ยอห์น 10:14)
พระเยซูมองดูฝูงชนที่ติดตามพระองค์และเปรียบเทียบพวกเขากับทุ่งนาที่ข้าวสุกอร่ามพร้อมจะเก็บเกี่ยวแล้ว
(1) ผู้คนพร้อมจะมอบชีวิตแด่พระเยซู (2)
พระเยซูสั่งให้เราอธิษฐาน เพื่อขอให้มีการตอบสนองการทรงเรียกด้วยการถวายตัวรับใช้พระเจ้าจงเตรียมพร้อมเพื่อให้พระเจ้าทรงใช้คุณในการนำผู้อื่นมาถึงพระองค์อาเมน.
2.ยอห์น 4:35-36 “พระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรีย” (35 ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ
เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม
ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว 36 คนเกี่ยวก็กำลังได้รับค่าจ้าง
และกำลังส่ำสมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะชื่นชมยินดีด้วยกัน
37 เพราะในเรื่องนี้คำที่กล่าวไว้นี้เป็นความจริง
คือ ‘คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว’ 38 เราใช้ท่านทั้งหลายไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านมิได้ลงแรงทำ
คนอื่นได้ลงแรงทำ และท่านได้รับประโยชน์จากแรงของเขา”)
1)
เบื้องหลังชาวสะมาเรีย หลังจากที่อาณาจักรเหนือและเมืองหลวง
คือ สะมาเรีย พ่ายแพ้ให้แก่ประเทศอัสซีเรีย ชาวยิวจำนวนมากถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่อัสซีเรีย
และอัสซีเรียได้นำชาวต่างชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐานและรักษาความสงบ (2พกษ 17:24) คนยิวที่เหลืออยู่แต่งงานกับชาวต่างชาติและเกิดลูกผสม
ชาวยิวอาณาจักรใต้ถือว่าไม่บริสุทธิ์ ชาวยิวแท้เกลียดชังลูกผสมเหล่านี้
และเรียกพวกเขาว่า “ชาวสะมาเรีย”
เนื่องจากพวกเขาได้ทรยศต่อชาวยิวด้วยกันและประเทศชาติยิว =
ชาวสะมาเรียได้ตั้งศูนย์กลางการนมัสการขึ้นอีกแห่งหนึ่งบนภูเขาเกริซิม
ควบคู่กับพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม
2)
บ่อน้ำของยาโคบ
เป็นหนึ่งของทรัพย์สมบัติยาโคบ (ปฐมกาล 33:18-19) น้ำในบ่อนี้ไม่ได้มาจากน้ำพุ แต่มาจากน้ำค้างและน้ำฝนที่ซึมอยู่ใต้ดิน
3)
ผู้หญิงชาวสะมาเรียคนนี้ (1) เป็นชาวสะมาเรีย เป็นกลุ่มลูกผสมที่ชาวยิวเกลียดชัง (2) มีชื่อเสียงไม่ดี และ (3) เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ
ชายชาวยิวทั่วไปย่อมไม่พูดกับหญิงที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ แต่พระเยซูพูดกับเธอ “ข่าวประเสริฐมีไว้สำหรับทุกคน”
ไม่ว่าคนนั้นจะมีเชื้อชาติอะไร มีฐานะทางสังคมเช่นใด หรือมีความบาปอะไรในอดีต เราต้องพร้อมแบ่งปันข่าวประเสริฐทุกเวลา
และสถานที่ พระเยซูทรงเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐ
เราผู้ซึ่งติดตามพระองค์เราพร้อมหรือยัง?
4)
พระเยซูได้สนทนากับหญิงชาวสะมาเรียนคนนี้
ถึงเรื่องอะไรบ้าง? (1) “น้ำ”
น้ำดื่มจากบ่อน้ำของยาโคบ ที่พระเยซูขอดื่มจากหญิงชาวสะมาเรีย กับ
น้ำที่ธำรงชีวิตซึ่งมาจากพระเยซูคริสต์
ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุแห่งชีวิตดื่มแล้วจะไม่กระหายอีกเลย (วิวรณ์ 21:6;22:17 และอิสยาห์ 55:1)
(2) ปัญหาชีวิตส่วนตัวของหญิงชาวสะมาเรีย
โดยพระเยซูตรัสกับนางว่า “ไปเรียกผัวของเจ้ามาที่นี่เถิด” หญิงตอบว่า
“ดิฉันไม่มีผัวค่ะ” พระเยซู
“เจ้าพูดถูกแล้วว่าผัวไม่มี”
เพราะได้มีผัวมา 5
คนแล้วและคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ผัวของเจ้า >เธอเปลี่ยนเรื่องเป็น
(3) สถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้า พระเยซูตอบ
“ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “สถานที่ใด” แต่ขึ้นอยู่กับ
“การรู้ว่าผู้ที่คุณนมัสการอยู่นั้นเป็นใคร?” และอยู่ที่ “ท่าทีภายใน”
ของผู้นมัสการ นางทูลพระองค์ว่า
“ดิฉันทราบว่า…..” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราที่พูดกับเจ้าคือท่านผู้นั้น” หญิงนั้นทิ้งหม้อน้ำไว้ และ
เข้าไปในเมืองบอกคนทั้งปวงว่า “มาเถิดมาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัด
ซึ่งฉันได้กระทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?”
ข้อ 30 “คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์”
ขณะนั้นพวกสาวกที่ออกไปซื้ออาหารได้กลับมา
เขาประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครกล้าถามพระองค์… และสาวกได้ทูลเชิญพระองค์รับประทานอาหาร
แต่พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เรามีอาหารรับประทานที่ท่านไม่รู้” อาหารจานโปรด! คือ “การทำตามพระทัยของพระองค์
ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ” และได้พูดถึงทุ่งนาที่เหลืองอร่าม
ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว…. “เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด” ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว!
การก้มหน้า กับ การเงยหน้า ต่างกันอย่างไร?
ชาวสะมาเรียเป็นอันมากที่มาจากเมืองนั้น ได้ “ศรัทธา” ในพระองค์
เพราะ “คำพยาน” ของหญิงผู้นั้นที่ว่า… “ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้ทำ” พระเยซูเปรียบเทียบ
“ผู้คนที่หิวกระหายข่าวประเสริฐ” เหมือนทุ่งนาที่เหลืองอร่ามพร้อมแล้วสำหรับการเก็บเกี่ยว
สดุดี 126.5-6 “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน ผู้ที่ร้องไห้ออกไป
หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้านด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตน กลับมาด้วย”