โดย ศาสนาจารย์ธีรพันธ์ ขอบใจ
สรุปคำเทศนา
“เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า” (มาระโก
10:45-52)
“เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า?”
และในมัทธิว : “ท่านทั้งสองจะใคร่ให้เราทำอะไรท่าน?” มีคนถามท่านมั้ยว่า
“ท่านปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้ท่าน / ท่านจะใคร่ให้เราทำอะไรเพื่อท่าน?”
ท่านรู้สึกอย่างไรกับคำถามดังกล่าว? ในทางกลับกัน “ท่านเคยถามคนอื่นๆ
เช่นนี้บ้างมั้ย?” ลักษณะคำถามดังกล่าว ไม่ใช่คำถามแบบโยนหินถามทาง (ปล่อยข่าวลือ
หยั่งเสียงฯลฯ)
ถามไปอย่างนั้นๆให้มันผ่านๆไปแต่คำถามของพระเยซูในที่นี่พระองค์ได้ถามด้วยความรักและความห่วงใยจริงๆ
ซึ่งมีความหมายตรงตามคำถามนั้นจริงๆ ท่านปรารถนาหรือจะใครให้เราทำอะไรเพื่อท่าน?
หากท่านถูกถามเช่นนี้ ท่านจะรู้สึกและตอบพระองค์เช่นใด?
มาระโก10:46-52 ฝ่ายพระเยซูกับพวกเหล่าสาวกมายังเมืองเยรีโค
และเมื่อพระองค์เสด็จออกจากเมืองเยรีโคกับพวกสาวกและประชาชนเป็นอันมาก มีคนตาบอดคนหนึ่งชื่อ บารทิเมอัส
ซึ่งเป็นบุตรของทิเมอัส นั่งขอทานที่ริมหนทาง
เมื่อคนนั้นไดยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จมา จึงร้องเสียงดังว่า “ท่านเยซู
บุตรดาวิดเจ้าข้าของทรงโปรดเมตตาข้าพระองค์เถิด”มีหลายคนห้ามให้เขานั่งเสีย
แต่เขายังร้องเสียงดังขึ้นว่า “”บุตรดาวิดเจ้าข้า ของทรงโปรดเมตตาข้าพระองค์เถิด” พระเยซูทรงหยุดประทับยืนอยู่แล้วตรัสสั่งให้เรียกคนนั้นมา
เขาจึงเรียกคนตาบอดนั้นว่าแกเข้ามา “จงชื่นใจและลุกขึ้นเถิดพระองค์ทรงเรียกเจ้า” คนนั้นก็ทิ้งผ้าห่มเสียลุกขึ้นมาหาพระเยซู
พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า “เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า”
คนตาบอดนั้นทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ขอโปรดให้ตาของข้าพระองค์เห็นได้” พระเยซูตรัสแก่เขาว่า
“จงไปเถิดความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าได้หายปกติแล้ว”
ในทันใดนั้นคนตาบอดนั้นก็เห็นได้และได้เดินทางตามพระองค์ไป (เปรียบเทียบ มัทธิว 20:29-34/ ลูกา 18:35-43)
ข้อสังเกต
1.
การเดินทางเมืองเยรีโค
(มัทธิวและมาระโก)บันทึกว่าพระเยซูกับสาวกได้เสด็จออกจากเมืองเยรีโคแต่ลูกาบันทึกว่าพระองค์เสด็จมาใกล้เมืองเยรีโค(ที่แตกต่างคือคำว่าเสด็จออกจากเมืองกับคำว่าเสด็จมาใกล้เมือง)
2.
คนตาบอด#มาระโกและลูกา
บันทึกว่ามีคนตาบอดคนหนึ่งและและพิเศษคือมาระโกบอกชื่อด้วยคือบารทิเมอัส
นั่งขอทานอยู่ริมหนทาง (เขาไม่มีทางเลือก)แต่มัทธิว บันทึกว่ามีคนตาบอด 2
คนนั่งอยู่ริมหนทาง
3.
สิ่งที่เหมือนกันคือ
เขาตาบอดมองไม่เห็นแต่เขาได้ยิน
“เมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูเสด็จมาเขาได้ร้องสียงดังว่า
“ท่านเยซูบุตรดาวิดเจ้าข้าขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด”
(39)คนที่เดินไปข้างหน้านั้นจึงห้ามเขาให้นิ่ง แต่เขายิ่งร้องขึ้นว่า
“บุตรดาวิดเจ้าข้าขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด” พระเยซูหยุดประทับยืนอยู่ สั่ง เรียก
และถามคนตาบอด “เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า/ท่านทั้งสองจะใคร่ให้เราทำอะไรเพื่อท่าน”?
ขอโปรดให้ตา ข้าพระองค์เห็นได้/ ขอให้นัยน์ตาของข้าพระองค์หายบอด/
โปรดให้ข้าพระองค์เห็นได้” มาระโก และ ลูกา
บันทึกว่าพระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงไปเถิด/จงเห็นเถิด
ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้เจ้าหายเป็นปกติแล้ว” แต่ในมัทธิวบันทึกว่า
พระองค์มีพระทัยสงสารและถูกต้องนัยน์ตาเขา
(4).เรื่องคนตาบอดในยอห์น บทที่ 9 ทำไมเขาเกิดมาตาบอด? เป็นผลบาปจากใคร? เขาเกิดมาตาบอดก็เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา
และพระเยซูรักษาโดยบ้วนน้ำลายลงฟื้นดินและทำเป็นโคลนทาตา
และให้ไปล้างที่สระสิโลอัม พระเยซูได้พูดถึงตาบอดใน 2 ลักษณะคือ
ตาบอดฝ่ายกายและตาบอดฝ่ายจิตวิญญาณ
บทเรียนที่ได้จากคนตาบอด
1)
ยอมรับสภาพและรู้ความต้องการของตนเอง(ยอมรับว่าตนตาบอดและต้องการที่จะเห็นได้)โรม3:23
เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า โรม 6:23เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 1ทิโมธี
1:15 คำนี้เป็นคำจริงและสมควรที่คนทั้งปวงจะรับไว้ คือว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลก เพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก
มัทธิว 5:3 บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ
ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
2)
เอาชนะข้อจำกัดของตนเอง (ตามองไม่เห็น แต่เขาใช้สิ่งที่เขามี
คือ หูที่ได้ยิน และใช้เสียงร้องเรียก)
โรม 5:8
แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น(ขาดกำลัง) พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
อิสยาห์ 64:6
ข้าพระองค์ทุกคนได้กลายเป็นเหมือนคนที่ไม่สะอาดและการกระทำอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งสิ้น เหมือนเสื้อผ้าที่สกปรก(เหมือนผ้าขี้ริ้วในสายพระเนตรของพระเจ้า)
ข้าพระองค์ทุกคนเหี่ยวลงอย่างใบไม้และความบาปผิดของข้าพระองค์ทั้งหลายได้พัดพาข้าพระองค์ไปเหมือนลม
3) เขาได้ร้องขอความเมตตาจากพระเยซู
(แม้พบอุปสรรค สิ่งกีดขวาง ถูกห้ามไม่ให้เรียกหาพระเยซู)
พระสัญญาอันอัศจรรย์แก่ผู้อธิษฐาน คือ จงขอแล้วจะได้
จะหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน ทุกคนที่ขอก็ได้ หาก็พบ
เคาะก็เปิดให้แก่เขา ฟิลิปปี 4:6 อย่าทุกร้อนในสิ่งใดๆเลย
แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน
การวิงวอนกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจจะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
4)
เขามีความเชื่อที่พระเยซูสามารถทำการอัศจรรย์ผ่านชีวิตของเขาได้
(จงเห็นเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้ตัวเจ้าหายปกติ) ความสำคัญของความเชื่อ ฮีบรู 11:6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมา เฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์ ยอห์น 11:40 พระเยซูตรัสกับเธอว่า “เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”ผลแห่งความเชื่อ-ตัวอย่างในพระคัมภีร์ มัทธิว 9:2,6 ดูเถิด เขาหามคนง่อยคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์ เมื่อพระเยซูทรงเห็น ความเชื่อของเขาทั้งหลาย จึงตรัสกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” / แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า “จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด”มัทธิว 9:22
ฝ่ายพระเยซูทรงเหลียวหลังทอดพระเนตรเห็นเข้า จึงตรัสว่า “ลูกหญิงเอ๋ย จงชื่นใจเถิด ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ” นับตั้งแต่เวลานั้น ผู้หญิงนั้นก็หายป่วยเป็นปกติ
มาระโก 5:34 พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า “ลูกหญิงเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด”