วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560

เทศนา 18/1/2560


โดย ศาสนาจารย์ธีรพันธ์   ขอบใจ




สรุปคำเทศนา

เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า (มาระโก 10:45-52)

          
  “เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า?” และในมัทธิว : “ท่านทั้งสองจะใคร่ให้เราทำอะไรท่าน?”  มีคนถามท่านมั้ยว่า “ท่านปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้ท่าน / ท่านจะใคร่ให้เราทำอะไรเพื่อท่าน?” ท่านรู้สึกอย่างไรกับคำถามดังกล่าว? ในทางกลับกัน “ท่านเคยถามคนอื่นๆ เช่นนี้บ้างมั้ย?” ลักษณะคำถามดังกล่าว ไม่ใช่คำถามแบบโยนหินถามทาง (ปล่อยข่าวลือ หยั่งเสียงฯลฯ) ถามไปอย่างนั้นๆให้มันผ่านๆไปแต่คำถามของพระเยซูในที่นี่พระองค์ได้ถามด้วยความรักและความห่วงใยจริงๆ ซึ่งมีความหมายตรงตามคำถามนั้นจริงๆ ท่านปรารถนาหรือจะใครให้เราทำอะไรเพื่อท่าน? หากท่านถูกถามเช่นนี้ ท่านจะรู้สึกและตอบพระองค์เช่นใด?
 มาระโก10:46-52 ฝ่ายพระเยซูกับพวกเหล่าสาวกมายังเมืองเยรีโค และเมื่อพระองค์เสด็จออกจากเมืองเยรีโคกับพวกสาวกและประชาชนเป็นอันมาก มีคนตาบอดคนหนึ่งชื่อ บารทิเมอัส ซึ่งเป็นบุตรของทิเมอัส นั่งขอทานที่ริมหนทาง  เมื่อคนนั้นไดยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จมา จึงร้องเสียงดังว่า “ท่านเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้าของทรงโปรดเมตตาข้าพระองค์เถิด”มีหลายคนห้ามให้เขานั่งเสีย แต่เขายังร้องเสียงดังขึ้นว่า “”บุตรดาวิดเจ้าข้า ของทรงโปรดเมตตาข้าพระองค์เถิด” พระเยซูทรงหยุดประทับยืนอยู่แล้วตรัสสั่งให้เรียกคนนั้นมา เขาจึงเรียกคนตาบอดนั้นว่าแกเข้ามา “จงชื่นใจและลุกขึ้นเถิดพระองค์ทรงเรียกเจ้า” คนนั้นก็ทิ้งผ้าห่มเสียลุกขึ้นมาหาพระเยซู พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า “เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า” คนตาบอดนั้นทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ขอโปรดให้ตาของข้าพระองค์เห็นได้” พระเยซูตรัสแก่เขาว่า “จงไปเถิดความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าได้หายปกติแล้ว” ในทันใดนั้นคนตาบอดนั้นก็เห็นได้และได้เดินทางตามพระองค์ไป (เปรียบเทียบ มัทธิว 20:29-34/ ลูกา 18:35-43)
ข้อสังเกต
1.        การเดินทางเมืองเยรีโค (มัทธิวและมาระโก)บันทึกว่าพระเยซูกับสาวกได้เสด็จออกจากเมืองเยรีโคแต่ลูกาบันทึกว่าพระองค์เสด็จมาใกล้เมืองเยรีโค(ที่แตกต่างคือคำว่าเสด็จออกจากเมืองกับคำว่าเสด็จมาใกล้เมือง)
2.        คนตาบอด#มาระโกและลูกา บันทึกว่ามีคนตาบอดคนหนึ่งและและพิเศษคือมาระโกบอกชื่อด้วยคือบารทิเมอัส นั่งขอทานอยู่ริมหนทาง (เขาไม่มีทางเลือก)แต่มัทธิว บันทึกว่ามีคนตาบอด 2 คนนั่งอยู่ริมหนทาง
3.        สิ่งที่เหมือนกันคือ เขาตาบอดมองไม่เห็นแต่เขาได้ยิน “เมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูเสด็จมาเขาได้ร้องสียงดังว่า “ท่านเยซูบุตรดาวิดเจ้าข้าขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด” (39)คนที่เดินไปข้างหน้านั้นจึงห้ามเขาให้นิ่ง แต่เขายิ่งร้องขึ้นว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้าขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด” พระเยซูหยุดประทับยืนอยู่ สั่ง เรียก และถามคนตาบอด “เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า/ท่านทั้งสองจะใคร่ให้เราทำอะไรเพื่อท่าน”? ขอโปรดให้ตา ข้าพระองค์เห็นได้/  ขอให้นัยน์ตาของข้าพระองค์หายบอด/ โปรดให้ข้าพระองค์เห็นได้  มาระโก และ ลูกา บันทึกว่าพระเยซูตรัสกับเขาว่า จงไปเถิด/จงเห็นเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้เจ้าหายเป็นปกติแล้ว”   แต่ในมัทธิวบันทึกว่า พระองค์มีพระทัยสงสารและถูกต้องนัยน์ตาเขา (4).เรื่องคนตาบอดในยอห์น บทที่ 9 ทำไมเขาเกิดมาตาบอด?  เป็นผลบาปจากใคร? เขาเกิดมาตาบอดก็เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา และพระเยซูรักษาโดยบ้วนน้ำลายลงฟื้นดินและทำเป็นโคลนทาตา และให้ไปล้างที่สระสิโลอัม  พระเยซูได้พูดถึงตาบอดใน 2 ลักษณะคือ ตาบอดฝ่ายกายและตาบอดฝ่ายจิตวิญญาณ

บทเรียนที่ได้จากคนตาบอด
1)       ยอมรับสภาพและรู้ความต้องการของตนเอง(ยอมรับว่าตนตาบอดและต้องการที่จะเห็นได้)โรม3:23  เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า  โรม 6:23เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย   แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา   1ทิโมธี 1:15 คำนี้เป็นคำจริงและสมควรที่คนทั้งปวงจะรับไว้ คือว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลก เพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก  มัทธิว 5:3        บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
2)       เอาชนะข้อจำกัดของตนเอง (ตามองไม่เห็น แต่เขาใช้สิ่งที่เขามี คือ หูที่ได้ยิน และใช้เสียงร้องเรียก)
โรม 5:8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น(ขาดกำลัง) พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา  อิสยาห์ 64:6 ข้าพระองค์ทุกคนได้กลายเป็นเหมือนคนที่ไม่สะอาดและการกระทำอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งสิ้น เหมือนเสื้อผ้าที่สกปรก(เหมือนผ้าขี้ริ้วในสายพระเนตรของพระเจ้า) ข้าพระองค์ทุกคนเหี่ยวลงอย่างใบไม้และความบาปผิดของข้าพระองค์ทั้งหลายได้พัดพาข้าพระองค์ไปเหมือนลม
3)       เขาได้ร้องขอความเมตตาจากพระเยซู (แม้พบอุปสรรค สิ่งกีดขวาง ถูกห้ามไม่ให้เรียกหาพระเยซู)
พระสัญญาอันอัศจรรย์แก่ผู้อธิษฐาน คือ จงขอแล้วจะได้ จะหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน ทุกคนที่ขอก็ได้ หาก็พบ เคาะก็เปิดให้แก่เขา  ฟิลิปปี 4:6         อย่าทุกร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนกับการขอบพระคุณ     แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจจะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
4)       เขามีความเชื่อที่พระเยซูสามารถทำการอัศจรรย์ผ่านชีวิตของเขาได้ (จงเห็นเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้ตัวเจ้าหายปกติ) ความสำคัญของความเชื่อ   ฮีบรู 11:6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมา  เฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์   ยอห์น 11:40       พระเยซูตรัสกับเธอว่าเราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผลแห่งความเชื่อ-ตัวอย่างในพระคัมภีร์     มัทธิว 9:2,6 ดูเถิด เขาหามคนง่อยคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์ เมื่อพระเยซูทรงเห็น  ความเชื่อของเขาทั้งหลาย จึงตรัสกับคนง่อยว่า       “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว / แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” ​พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่าจงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิดมัทธิว 9:22  ฝ่ายพระเยซูทรงเหลียวหลังทอดพระเนตรเห็นเข้า จึงตรัสว่าลูกหญิงเอ๋ย จงชื่นใจเถิด ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อนับตั้งแต่เวลานั้น ผู้หญิงนั้นก็หายป่วยเป็นปกติ  มาระโก 5:34 พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่าลูกหญิงเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด