วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

เทศนา 18/12/2559



 โดยอ.สมจิตร์  ขอบใจ


สรุปคำเทศนา    “คำเทศนา เรื่องคนเลี้ยงแกะ”   (พระธรรม ลูกา 2:8-20)

                                                                      

                                                                                  
                    ตั้งแต่เป็นเด็ก เราเคยได้ยินนิทานอีสป  ว่าด้วยเด็กเลี้ยงแกะว่าเป็นคนไม่ดี พ่อแม่เคยสอนว่าอย่าทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ  เรื่องคนเลี้ยงแกะจากพระคัมภีร์ต้องเป็นเรื่องที่ประทับใจเกี่ยวกับคนเลี้ยงแกะ  ในบรรดาอาชีพของคนเลี้ยง สุนัข แมว นก หรือสัตว์ต่างๆ  ไม่มีอาชีพใดที่จะต้องเสียสละเท่ากับคนเลี้ยงแกะ เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราก็ศึกษาเรื่องคนเลี้ยงแกะจากพระคัมภีร์  โดยเฉพาะวันคริสตมาส  และจะมีเรื่องพระกำเนิดของพระเยซูผูกพันกับคนเลี้ยงแกะเสมอ  พระเจ้าไม่ได้ให้ทูตสวรรค์ไปปรากฏ  และพูดกับคนในเมืองใหญ่หรือกับผู้มีอำนาจของประเทศ  พระองค์ทรงเลือกวิถีของพระองค์เอง  คือเลือกพูดกับคนเลี้ยงแกะที่อยู่บ้านนอก  สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญ  และน่าประทับใจสำหรับคริสเตียนเป็นอย่างยิ่ง  คนเลี้ยงแกะจะเฝ้าฝูงแกะ  เขาจะรักแกะจริงๆ  และมีความรับผิดชอบ  และอาชีพนี้ก็เป็นอาชีพที่น่าศึกษา  เพื่อว่าเราจะได้ประทับใจในเรื่องราวของคนเลี้ยงแกะในพระคัมภีร์ 
(1) คนเลี้ยงแกะกำลังทำงานหนักในทุ่งนา ลูกา2:8“ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนาเฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน”ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจมากๆที่พระเจ้ามาพูดกับเขา  และสามารถอวยพระพรแก่เขาในขณะที่เรากำลังง่วนอยู่กับภารกิจ ประจำวัน  พระองค์เสด็จมาพูดกับคนที่ตื่นอยู่พระองค์ไม่ได้เสด็จไปปลุกคนหลับ เหมือนเราที่ต้องมีหน้าที่ ของตัวเอง เหมือนชาวนาที่อยู่กลางทุ่งนา แม่บ้านที่กำลังทำอาหาร  หรือพ่อบ้านที่ทำงาน  วันรุ่นที่เรียนหนังสือที่โรงเรียน  ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม พระเจ้าสามารถเสด็จมาใกล้ๆเราและสอนเรา  บอกเราในขณะที่เรากำลังทำงานต่างๆในชีวิตประจำวันได้  สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐสำหรับเราทุกคน 
(2)คนเลี้ยงแกะมีความตกใจกลัวเป็นอันมาก  ลูกา2:9  “มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขา  และพระสิริของพระเป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขาและกลัวกัน”คนเลี้ยงแกะเป็นคนธรรมดา  ตกใจกลัวเวลาทูตของพระเจ้าเสด็จมาปรากฏแก่เขา  และเขาก็เกิดความกลัว  การแสดงความกลัวออกมานั้น  พระเจ้าประทานให้มนุษย์มีอารมณ์ต่างๆกัน  คนเลี้ยงแกะไม่ได้ข่มใจเก็บกด อารมณ์กลัวใดๆไว้พวกเขารู้ว่าพระเจ้าคงจะทำอะไรบางอย่างที่พวกเขาอาจจะยังไม่เข้าใจก็เป็นได้  เขาจึงแสดงออกว่าเขากลัว  การแสดงอารมณ์ออกมาไม่ผิดอะไร  แต่การเก็บกดอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้  โดยไม่แสดงออกมาบ้าง  อาจจะไม่ดีต่อสุขภาพจิตของเราก็ได้
(3)คนเลี้ยงแกะตั้งใจฟังพระคำของพระเจ้า    ลูกา 2: 10-14 ฝ่ายทูตองค์นั้น กล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย  คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง  เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลายคือ พระคริสต์เจ้า  มาบังเกิดที่เมืองดาวิด  นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย  คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนในรางหญ้า  “ในทันใดนั้น มีชาวสวรรค์หมู่หนึ่งมาอยู่กับทูตองค์นั้นร่วมสรรเสริญพระเจ้าว่า  “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลกสันติสุขจงมีแด่ท่านกลางมนุษย์ทั้งปวง  ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น”   การที่คนเลี้ยงแกะตั้งใจฟังพระดำรัสของพระเจ้าเราเองก็ควรตั้งใจฟังเช่นกัน  ในยุคสมัยนี้  เราได้ยิน ได้รับรู้ คำพูด ข้อมูล จากสื่อต่างๆ  เช่นวิทยุ โทรทัศน์  อินเตอร์เน็ต  และสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นบ้างก็ไม่มีคุณค่าแก่การเก็บเข้ามาไว้ในสมองของเราเลย  เราควรสนใจว่าใครพูด  และพูดอะไรแก่เราที่เราควรสนใจ  และรับฟัง  และสิ่งที่เราควรเก็บไว้ในจิตใจของเราคือ  เก็บพระคำของพระเจ้าไว้ในจิตใจของเราให้ได้มากที่สุด
(4)คนเลี้ยงแกะลงมือกระทำตามที่ได้ยินพระดำรัสเมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นไปจากเขาขึ้นสู่สวรรค์แล้ว  พวกเลี้ยงแกะได้พูดกันว่า “ให้เราไปยังเมืองเบ็ธเลเฮ็มดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น  ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงแจ้งแก่เรา”คนเลี้ยงแกะไม่ได้ยึดกับ
อารมณ์กลัว  หรือข้อความที่เขาได้ฟัง แต่พวกเขามีใจเชื่อและลงมือปฏิบัติตามความเชื่อ  โดยเดินทางไปตามพระดำรัส  เราที่เป็นคริสเตียนควรเป็นคนที่ไม่ใช่ได้ยินได้ฟังเฉยๆ  แต่เป็นคนที่ลงมือปฏิบัติ  เป็นเกลือ  และเป็นความสว่างในสังคม ที่เลวร้ายและเสื่อมโทรมทางศีลธรรม  เราควรเดินติดตามพระเจ้าและลงมือปฏิบัติตามพระธรรมของพระองค์ จุดอ่อนในคริสตจักรคือ  เราฟังแต่ไม่ตอบสนอง  เรารู้แต่ไม่ทำเราต้องฝึกปฏิบัติบ่อยๆ  ในสิ่งเล็กน้อยที่เรารู้  

(5)คนเลี้ยงแกะเสาะหา  และพรพระกุมารเยซูลูกา 2:16 “เขาก็รีบไปแล้วพบนางมารีย์กับโยเซฟและพบพระกุมารนั้นนอนอยู่ในรางหญ้า”  สิ่งที่มีค่าคู่ควรแก่การเสาะหาของมนุษย์ทุกคน  คือพระเยซู  ปัจจุบันคนเราเสาะหางาน  วัตถุ  เงินแม้แต่ทองคำเขาเสาะหา เพราะเขาให้คุณค่าแก่สิ่งเหล่านี้  แต่บุคคลที่เราควรเสาะหามากที่สุดคือ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักเรา  และสละพระองค์เองเพื่อเราเสมอไป  บางคนเสาะหารถรุ่นใหม่ๆ ที่จะทำให้เขามีความสุข  บ้านหลังใหม่  คู่ครองใหม่ งานใหม่ หรืออะไรใหม่ๆ เพื่อว่าเขาอาจจะมีความสุขมากขึ้น  แต่น้อยคนที่จะเสาะหาบุคคลที่เป็น  “ราชาแห่งสันติสุข”  ที่จะทำให้เขามีความสุขที่แท้จริง  2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว  สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป  นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

(6) คนเลี้ยงแกะเมื่อพบพระกุมารแล้วจึงไปบอกแก่คนทั่วไป  ลูกา 2:17   “ครั้งเขาได้เห็นแล้ว        จึงเล่าเรื่องซึ่งเขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น”  สำหรับคนเลี้ยงแกะ         การเป็นพยานดูจะไม่ต้องใช้เวลามากมายอะไร  ไม่ต้องเตรียมตัว  ไม่ต้องอบรม  ไม่ต้องเข้าเรียนในหลักสูตรพิเศษ  เพียงแต่เขาได้รู้ ได้ยินข่าวจากทูตสวรรค์  เพียงแต่เขาได้ไปเห็น  พระเยซูจริงๆ เมื่อเขาได้มีประสบการณ์จริงๆ  เมื่อเขาประสบกับความจริง  เขาก็เริ่มเล่าให้กับคนอื่นฟังทันที  เราลอดคิดดูว่าคนเลี้ยงแกะจะไปเล่าให้ใครที่ไหนฟัง  แน่นอนที่เดียวพวกเขาก็ต้องไปบอกคนในครัวเรือนเดียวกันก่อน  เขาคงไปหาเพื่อนบ้าน เพื่อนฝูง  พ่อค้าที่เขารู้จัก  และเด็กวัยรุ่นในหมู่บ้านเดียวกัน  และทุกคนในละแวกบ้านใกล้เรือนเคียง  เขาคงต้องใช้เวลาเพื่อการนี้พอสมควร  ท่านและข้าพเจ้าก็เช่นกัน  เราควรเป็นพยานให้คนอื่นทราบเรื่องพระเยซู เราสามารถทำได้หลายทางไม่ว่าเราจะมีอาชีพหมอ แม่บ้าน คนทำงาน พนักงานบริษัท ผู้จัดการ ข้าราชการหรือ ครู  เราสามารถบอกเล่าเรื่องความจริง  เกี่ยวกับราชาแห่งสันติสุขที่เราประสบ  โดยให้หนังสือเขาอ่าน  ให้ใบปลิวที่น่าสนใจ  ทั้งแผ่นซีดี  หรือแม้แต่หาโอกาสคุยกับเขา แคร์ความรู้สึกเขา สนใจเขา  และสุดท้านพระองค์จะนำเราให้แบ่งปันความสุขนี้แก่คนทั้งปวงได้อย่างมีสันติสุขที่ได้แบ่งปัน 

(7) คนเลี้ยงแกะจึงกลับไปขอบคุณ  และสรรเสริญพระเจ้า ลูกา2:20 คนเลี้ยงแกะจึงกลับไปยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งเขาได้ยินและได้เห็นดังได้กล่าวไว้แก่เขาแล้ว”พระคัมภีร์ได้บันทึกว่า  คนเลี้ยงแกะก็กลับไป  เขาไปไหน แน่นอนทีเดียวเขาต้องกลับไปทำงานเลี้ยงแกะเช่นเดิม  คนเลี้ยงแกะเป็นคนสัตย์ซื่อกับงาน เป็นคนที่ไว้ใจได้  พึ่งพาได้  แม้ว่าเขาจะไปประสบกับเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นที่คนในโลกอยากมีประสบการณ์อีก พวกเขาได้ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าเช่นเดียวกับเรา  เราได้รับอะไรมากมายจากพระเจ้า  รับสิ่งดีๆ และเราเคยขอบคุณพระเจ้าบ้างหรือไม่  หรือว่าลืมพระเจ้าไปเลยเมื่อเราจะก้าวสู่ปีใหม่อีกไม่กี่วันข้างหน้า  เราควรใช้ชีวิตของเราในการขอบพระคุณ และสรรเสริญพระเจ้าให้มากขึ้นในขณะที่เราต้องทำงานมีภาระหน้าที่ของเรา  เราต้องสัตย์ซื่อในหน้าที่  แม้งานนั้นจะไม่มีเกียรติมากมายเท่าไหร่  คนทั่วไปมักสนใจและอยากอยู่ใกล้ผู้ที่มีความชื่นชม ยินดี คนที่น่ารัก  คนที่อบอุ่น  คริสเตียนน่าจะเป็นคนที่คนทั่วไปอยากอยู่ใกล้ๆไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพไหนๆก็ตาม  เราเป็นคริสเตียนเป็นลูกของพระเจ้า  และเป็นคนที่รักพระเจ้า  บังเกิดใหม่แล้ว  อยู่ภายใต้การอารักขาของพระเจ้า ฉะนั้นใกล้วันคริสตมาสเราทุกคนต้องแสดงตัวว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าบอกให้ทุกคนรู้ว่าคริสตมาสมีความหมายอย่างไร และสำคัญอย่างไรกับคริสเตียนทั่วโลก  ในวันคริสตมาสขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานสันติสุขให้กับทุกคน