วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เทศนา 9/4/2560


โดย..ศจ.ธีรพันธ์      ขอบใจ

สรุปคำเทศนา
                                      เรื่อง “ครอบครัวที่ส่งต่อความเชื่อ” (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-9)
                                                                                                               
                “ครอบครัวที่ส่งต่อความเชื่อจากเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-9 และพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ เราพบว่า ครอบครัวที่ส่งต่อความเชื่อมีองค์ประกอบ 2 องค์ประกอบ  องค์ประกอบแรก (1.) ผู้ใหญ่ในครอบครัวที่เป็นแบบอย่างของผู้เชื่อแท้ โดย…(1.1) รักพระเจ้าพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติเขียนโดยโมเสส ก่อนที่ชาวอิสราเอลจะเข้าสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญา โมเสสได้ทบทวนธรรมบัญญัติที่พระเจ้าที่มอบให้ และช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่า สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้เชื่อ คือ การเชื่อวางใจในพระเจ้า รักพระองค์ และดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระองค์    ในข้อที่ 4-5 โมเสสกล่าวว่า โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลายเป็นพระเจ้าเดียว พวกท่านจงรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดกำลังของท่าน” (ฉธบ. 6:4-5)  พระคัมภีร์ตอนนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับชนชาติอิสราเอล พวกเขาเรียกพระคัมภีร์ตอนนี้ว่าשׁמעชาร์มาซึ่งแปลว่า จงฟังเพราะเป็นคำแรกของประโยคในภาษาฮีบรู ซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิมของพันธสัญญาเดิมคำว่า ชาร์มาไม่ได้เป็นเพียงการ ฟังเพื่อที่จะเข้าใจเท่านั้น แต่หมายถึงการ เชื่อฟังหรือ ทำตามด้วย ดังนั้น พระคัมภีร์ข้อนี้จึงเรียกร้องให้เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และรักพระองค์อย่างแท้จริง นั่นคือ ไม่ได้เป็นเพียงการประกาศให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองเป็นคริสเตียน หรือการพูดว่ารักพระเจ้าเท่านั้น แต่เป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ อย่างผู้ที่ไว้วางใจและรักพระเจ้าด้วยสุดใจ เช่น ไม่กราบไหว้บูชาพระอื่น ไม่พึ่งพาโชคลาง และไม่ทำให้พระเจ้าเสียพระทัยในสิ่งที่ตนเองคิด รู้สึก พูด หรือกระทำซึ่งสิ่งที่จะพิสูจน์ว่าบุคคลหนึ่งเป็นผู้เชื่อแท้ที่รักพระเจ้า ก็คือการที่เขาจะ (1.2) ดำเนินชีวิตตามพระวจนะโมเสสกล่าวต่อไปในข้อที่ 6-9 ว่า และจงให้ถ้อยคำที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน และพวกท่านจงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง และนอนลงหรือลุกขึ้น จงพูดถึงถ้อยคำนั้น จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และจงจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของท่าน และเขียนไว้ที่เสาประตูเรือน และที่ประตูของท่าน” (ฉธบ. 6:6-9)พระคัมภีร์ตอนนี้กำลังบอกว่า พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในครอบครัวได้รับมอบหมายให้รับพระวจนะของพระเจ้าเอาไว้ในใจ แล้วสอนพระวจนะแก่ลูกหลานผ่านทางคำพูดและการกระทำของพวกเขาในทุกที่และทุกเวลา ในข้อที่ 7 การนั่งอยู่ในเรือน  และเดินอยู่ตามทางหมายถึง ทุกสิ่งที่เรากระทำในสถานที่ต่างๆ ส่วนการนอนลงหรือลุกขึ้นเน้นเกี่ยวกับทุกเวลาในชีวิตของเรา    จากข้อที่ 8 และ 9 ชาวยิวบางคนยึดตามตัวอักษร โดยเอากล่องเล็กๆ ใส่ข้อพระคัมภีร์แล้วคาดสายหนังเอาไว้ที่แขนและหน้าผาก (Phylactery) นอกจากนั้น พวกเขายังติดแผ่นโลหะที่จารึกข้อพระคัมภีร์เอาไว้ที่วงกบประตูบ้านด้วย (Mezuzah) แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่โมเสสต้องการบอกกับพวกเขาก็คือ ให้ผู้เชื่อและครอบครัวของเขาดำเนินชีวิตตามบรรทัดฐานของพระคัมภีร์อย่างแท้จริง หรือพูดอีกอย่างว่า เมื่อลูกหลานมองดูชีวิตของผู้ใหญ่ในครอบครัว ขอให้ลูกหลานเห็นตัวอย่างของผู้ที่ทำตามพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ  จากพระคัมภีร์ตอนนี้ โมเสสช่วยให้ชาวอิสราเอลตระหนักว่าบุคคลสำคัญที่สุดในการส่งต่อความเชื่อให้กับคนรุ่นต่อๆ ไปไม่ใช่ปุโรหิตหรือเลวี แต่เป็นผู้ใหญ่ในครอบครัว และบริบท(ที่)สำคัญที่สุดในการส่งต่อความเชื่อให้กับลูกหลานไม่ใช่การนมัสการในพลับพลาหรือพระวิหาร แต่เป็นการดำเนินชีวิตประจำวันในบ้านของพวกเขาสำหรับเราทั้งหลายในปัจจุบัน ในขณะที่ทุกคริสตจักรควรมีผู้รับใช้เจ้าเต็มเวลาและครูรวีวารศึกษาในสัดส่วนที่เหมาะสมกับจำนวนสมาชิกในคริสตจักร แต่เราต้องไม่ลืมว่า บุคคลสำคัญที่สุดในการส่งต่อความเชื่อให้กับลูกหลานของเราไม่ใช่ศิษยาภิบาลหรือครูรวีฯ แต่เป็นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ที่อยู่ในครอบครัวเราเห็นความจริงนี้จากการเปรียบเทียบระหว่างอนุช
นคริสเตียน 400 คน (อายุ 13-18 ปี) ที่พ่อแม่ไม่เคยแสดงออกเกี่ยวกับความเชื่อและไม่มีการพูดคุยเกี่ยวกับพระเจ้าภายในบ้าน กับอนุชนคริสเตียนอีก 400 คน ที่พ่อแม่เป็นแบบอย่างในความเชื่อและมีการพูดคุยเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่เสมอ   (1) มีอนุชนในกลุ่มแรกเพียง 15% ที่อธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ด้วยตนเอง แต่กลุ่มที่สองมีถึง 42%  (2) การมีส่วนร่วมในคริสตจักร กลุ่มแรก 35% กลุ่มที่สอง 78% (3) การมีทัศนคติในเชิงบวก กลุ่มแรก 26% กลุ่มที่สอง 54% (4) การช่วยเหลือผู้อื่น กลุ่มแรก 34% กลุ่มที่สอง 72%  ในแต่ละข้อ มีจำนวนอนุชนที่แตกต่างกันมากกว่าสองเท่า สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ใหญ่ที่เป็นแบบอย่างของผู้เชื่อแท้มีส่วนสำคัญในการช่วยให้ลูกหลานในครอบครัวเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า ดังนั้น การที่ผู้ใหญ่ในครอบครัวเป็นแบบอย่างของผู้เชื่อที่ดี มีการอธิษฐาน นมัสการ อ่านและศึกษาพระคัมภีร์ร่วมกันในครอบครัว จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในครอบครัวที่ส่งต่อความเชื่อ  ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากคริสตจักรคือครอบครัวฝ่ายวิญญาณของ
เรา นอกจากเราจะส่งต่อความเชื่อให้กับลูกหลานที่บ้านของเราแล้ว เราต้องไม่ลืมเด็กและอนุชนคนอื่นๆ ในคริสตจักรด้วย เพราะมีอนุชนหลายคนที่ไม่ได้มาจากครอบครัวคริสเตียน พวกเขาไม่มีผู้ใหญ่คริสเตียนที่คอยดูแล แต่ในครอบครัวคริสตจักรที่หนึ่ง เชียงใหม่นี้ พวกเขามีผู้ใหญ่ในคริสตจักรที่เป็นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ในฝ่ายวิญญาณ ที่รักและห่วงใยพวกเขา การที่ผู้ใหญ่ในคริสตจักรรู้จักอนุชน การได้พบปะพูดคุย หนุนใจกัน อธิษฐานเผื่อกัน จึงเป็นสิ่งที่มีความหมายเป็นอย่างมากสำหรับพวกเขา องค์ประกอบที่สองของครอบครัวที่ส่งต่อความเชื่อ คือ (2.) ลูกหลานในครอบครัวที่ปรารถนาการเป็นผู้เชื่อแท้ โดยเริ่มต้นด้วยการ (2.1) รับพระเยซูเข้ามาในชีวิต  ใน 2 ทิโมธี 1:5 อ.เปาโลกล่าวกับทิโมธีซึ่งเป็นผู้รับใช้(คน)หนุ่มว่า ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออย่างจริงใจของท่าน อันเป็นความเชื่อซึ่งเมื่อก่อนได้มีอยู่ในโลอิสยายของท่าน และในยูนีสมารดาของท่าน และบัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีอยู่ในท่าน” (2 ทิโมธี 1:5) เราเห็นการส่งต่อความเชื่อในครอบครัวนี้ จากยายมาสู่แม่ และจากแม่มายังทิโมธี และเราเห็นการที่ทิโมธีได้ตัดสินใจเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ด้วยตนเอง   อยากจะบอกคนหนุ่มสาวในที่นี้นะคะว่าการได้เกิดมาในครอบครัวที่มีความเชื่อนั้นเป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะเป็นคริสเตียนโดยอัตโนมัติ ผู้ใหญ่ในครอบครัวได้ส่งต่อความเชื่อมาให้ท่านแล้ว แต่ท่านจำเป็นจะต้องตัดสินใจว่าท่านจะเชื่อวางใจในพระเจ้าด้วยตนเองหรือไม่ ท่าน จะรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต ให้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นเจ้าของชีวิตของเท่าหรือไม่ นี่คือเหตุผลที่คริสตจักรของเราให้บัพติศมาเด็กทารกและหลังจากนั้นจะให้พวกเขาตัดสินใจว่าจะประกาศตัวเป็นสมาชิกสมบูรณ์ของคริสตจักรหรือไม่ คริสตจักรของเรามีรากฐานมาจากคณะเพรสไบทีเรียนที่เชื่อว่าลูกหลานของคริสเตียนสามารถรับบัพติศมาได้ตั้งแต่เป็นทารก เพราะพวกเขาได้รับพระคุณจากพระเจ้าให้เกิดมาในครอบครัวของผู้เชื่อ พวกเขาจึงมีส่วนในพันธสัญญาของพระเจ้าแล้ว  เมื่อท่านยังเป็นเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองได้ปลูกฝังให้ท่านอยู่ในทางของพระเจ้า แต่เมื่อท่านเข้าสู่วัยหนุ่มสาวแล้ว นี่เป็นเวลาที่ท่านจะต้องตัดสินใจเชื่อวางใจในพระเจ้าด้วยตนเอง อย่าเข้าสู่พิธีประกาศตัวเป็นสมาชิกสมบูรณ์เพียงเพราะท่านมีอายุถึงเกณฑ์ แต่ขอให้เป็นสิ่งยืนยันว่าท่านมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง   เมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตแล้ว หากท่านปรารถนาจะเติบโตขึ้นเป็นผู้เชื่อแท้ ท่านจำเป็นจะต้อง (2.2) ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่ดี   ใน 3 ยอห์น 1:11 ยอห์นกล่าวว่า ท่านที่รัก อย่าเอาเยี่ยงสิ่งที่ชั่ว แต่จงเอาอย่างสิ่งที่ดีผู้ที่ทำดีก็เป็นคนของพระเจ้า ผู้ที่ทำชั่วก็ไม่เห็นพระเจ้า” (3 ยอห์น 1:11)  ใน 1 โครินธ์ 11:1 เปาโลกล่าวว่า ท่านทั้งหลายก็จงปฏิบัติตามอย่างข้าพเจ้า เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าปฏิบัติตามอย่างพระคริสต์” (1 โครินธ์ 11:1)  ในโลกที่ได้รับอิทธิพลจากความบาปนี้ ผู้คนมากมายเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เต็มไปด้วยพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและศีลธรรมที่เสื่อมลง เราอาจอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่สัตย์ซื่อต่อคู่สมรส ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ติดการพนัน คดโกง เราเห็นทั้งในภาพยนตร์และในชีวิตจริงที่ผู้หญิงผู้ชาย อยู่ด้วยกันก่อนแต่งฯลฯ แต่พระวจนะของพระเจ้าหนุนใจคนรุ่นใหม่ที่ปรารถนาจะเติบโตขึ้นเป็นผู้เชื่อแท้ ให้หันสายตาไปมองดูตัวอย่างที่ดี คือผู้ที่ดำเนินชีวิตในทางของพระเยซูคริสต์ แล้วทำตามแบบอย่างของคนเหล่านั้น   ผู้คนที่ปฏิเสธพระเจ้าอาจดูเหมือนเจริญก้าวหน้าและมีความสุข แต่จริงๆ แล้วพวกเขาไม่มีความสุขแท้และพลาดไปจากชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้าอาจดูเหมือนล้าหลังและขาดแคลน แต่จริงๆ แล้วพวกเขาเต็มไปด้วยสันติสุขแท้ มีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ และจะได้รับชีวิตนิรันดร์ตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้   ดังนั้น ขอให้คนหนุ่มสาวในที่นี้เรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของผู้เชื่อที่ดี ทั้งผู้ที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ และ บุคคลในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เราเห็นสมาชิกคริสตจักรมากมายที่รักพระเจ้า ติดสนิทกับพระองค์ รักการนมัสการทั้งในคริสตจักรและในครอบครัว อธิษฐานและศึกษาพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอ เอาจริงเอาจังในการรับใช้ และทุ่มเทในการเป็นพยานผ่านทางชีวิตและคำพูดของตนเอง (นั่นคือไม่ว่าทำงานอะไรก็ทำอย่างเต็มที่เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเล่าเรื่องพระเยซูคริสต์ให้คนอื่นๆ อยู่เสมอ) หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนหนุ่มสาวในคริสตจักร จะดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่ดีเหล่านี้ เพื่อที่ท่านจะเป็นอีกคนหนึ่งที่สามารถรักษาความเชื่อในพระเจ้าเอาไว้เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ และในอนาคต ท่านจะเป็นคนนั้นที่ส่งต่อความเชื่อไปยังลูกหลานของท่านต่อไป
สรุป ครอบครัวที่ส่งต่อความเชื่อมีองค์ประกอบ 2 องค์ประกอบ คือ 1. ผู้ใหญ่ในครอบครัวที่เป็นแบบอย่างของผู้เชื่อแท้ โดยรักพระเจ้าและดำเนินชีวิตตามพระวจนะ  2. ลูกหลานในครอบครัวที่ปรารถนาการเป็นผู้เชื่อแท้ โดยรับพระเยซูเข้ามาในชีวิตและดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่ดี