โดย: อ.สมจิตร์ ขอบใจ
สรุปคำเทศนา “คำเทศนา เรื่องคนเลี้ยงแกะ” (พระธรรม ลูกา 2:8-20)
ตั้งแต่เป็นเด็ก
เราเคยได้ยินนิทานอีสป
ว่าด้วยเด็กเลี้ยงแกะว่าเป็นคนไม่ดี
พ่อแม่เคยสอนว่าอย่าทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ
เรื่องคนเลี้ยงแกะจากพระคัมภีร์ต้องเป็นเรื่องที่ประทับใจเกี่ยวกับคนเลี้ยงแกะ ในบรรดาอาชีพของคนเลี้ยง สุนัข แมว นก
หรือสัตว์ต่างๆ
ไม่มีอาชีพใดที่จะต้องเสียสละเท่ากับคนเลี้ยงแกะ เมื่อเราเป็นคริสเตียน
เราก็ศึกษาเรื่องคนเลี้ยงแกะจากพระคัมภีร์
โดยเฉพาะวันคริสตมาส
และจะมีเรื่องพระกำเนิดของพระเยซูผูกพันกับคนเลี้ยงแกะเสมอ พระเจ้าไม่ได้ให้ทูตสวรรค์ไปปรากฏ
และพูดกับคนในเมืองใหญ่หรือกับผู้มีอำนาจของประเทศ พระองค์ทรงเลือกวิถีของพระองค์เอง คือเลือกพูดกับคนเลี้ยงแกะที่อยู่บ้านนอก สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญ
และน่าประทับใจสำหรับคริสเตียนเป็นอย่างยิ่ง คนเลี้ยงแกะจะเฝ้าฝูงแกะ เขาจะรักแกะจริงๆ และมีความรับผิดชอบ และอาชีพนี้ก็เป็นอาชีพที่น่าศึกษา เพื่อว่าเราจะได้ประทับใจในเรื่องราวของคนเลี้ยงแกะในพระคัมภีร์
(1) คนเลี้ยงแกะกำลังทำงานหนักในทุ่งนา ลูกา2:8“ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนาเฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน”ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจมากๆที่พระเจ้ามาพูดกับเขา
และสามารถอวยพระพรแก่เขาในขณะที่เรากำลังง่วนอยู่กับภารกิจ ประจำวัน
พระองค์เสด็จมาพูดกับคนที่ตื่นอยู่พระองค์ไม่ได้เสด็จไปปลุกคนหลับ เหมือนเราที่ต้องมีหน้าที่
ของตัวเอง เหมือนชาวนาที่อยู่กลางทุ่งนา แม่บ้านที่กำลังทำอาหาร หรือพ่อบ้านที่ทำงาน วันรุ่นที่เรียนหนังสือที่โรงเรียน ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม
พระเจ้าสามารถเสด็จมาใกล้ๆเราและสอนเรา
บอกเราในขณะที่เรากำลังทำงานต่างๆในชีวิตประจำวันได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐสำหรับเราทุกคน
(2)คนเลี้ยงแกะมีความตกใจกลัวเป็นอันมาก ลูกา2:9
“มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขา
และพระสิริของพระเป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขาและกลัวกัน”คนเลี้ยงแกะเป็นคนธรรมดา
ตกใจกลัวเวลาทูตของพระเจ้าเสด็จมาปรากฏแก่เขา และเขาก็เกิดความกลัว การแสดงความกลัวออกมานั้น พระเจ้าประทานให้มนุษย์มีอารมณ์ต่างๆกัน คนเลี้ยงแกะไม่ได้ข่มใจเก็บกด
อารมณ์กลัวใดๆไว้พวกเขารู้ว่าพระเจ้าคงจะทำอะไรบางอย่างที่พวกเขาอาจจะยังไม่เข้าใจก็เป็นได้ เขาจึงแสดงออกว่าเขากลัว การแสดงอารมณ์ออกมาไม่ผิดอะไร แต่การเก็บกดอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้ โดยไม่แสดงออกมาบ้าง อาจจะไม่ดีต่อสุขภาพจิตของเราก็ได้
(3)คนเลี้ยงแกะตั้งใจฟังพระคำของพระเจ้า ลูกา 2: 10-14 ฝ่ายทูตองค์นั้น
กล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลายคือ
พระคริสต์เจ้า
มาบังเกิดที่เมืองดาวิด
นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย
คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนในรางหญ้า “ในทันใดนั้น
มีชาวสวรรค์หมู่หนึ่งมาอยู่กับทูตองค์นั้นร่วมสรรเสริญพระเจ้าว่า “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลกสันติสุขจงมีแด่ท่านกลางมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น”
การที่คนเลี้ยงแกะตั้งใจฟังพระดำรัสของพระเจ้าเราเองก็ควรตั้งใจฟังเช่นกัน ในยุคสมัยนี้
เราได้ยิน ได้รับรู้ คำพูด ข้อมูล จากสื่อต่างๆ เช่นวิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต
และสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ
ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นบ้างก็ไม่มีคุณค่าแก่การเก็บเข้ามาไว้ในสมองของเราเลย เราควรสนใจว่าใครพูด และพูดอะไรแก่เราที่เราควรสนใจ และรับฟัง
และสิ่งที่เราควรเก็บไว้ในจิตใจของเราคือ
เก็บพระคำของพระเจ้าไว้ในจิตใจของเราให้ได้มากที่สุด
(4)คนเลี้ยงแกะลงมือกระทำตามที่ได้ยินพระดำรัสเมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นไปจากเขาขึ้นสู่สวรรค์แล้ว พวกเลี้ยงแกะได้พูดกันว่า “ให้เราไปยังเมืองเบ็ธเลเฮ็มดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงแจ้งแก่เรา”คนเลี้ยงแกะไม่ได้ยึดกับ
อารมณ์กลัว หรือข้อความที่เขาได้ฟัง แต่พวกเขามีใจเชื่อและลงมือปฏิบัติตามความเชื่อ โดยเดินทางไปตามพระดำรัส
เราที่เป็นคริสเตียนควรเป็นคนที่ไม่ใช่ได้ยินได้ฟังเฉยๆ แต่เป็นคนที่ลงมือปฏิบัติ เป็นเกลือ
และเป็นความสว่างในสังคม ที่เลวร้ายและเสื่อมโทรมทางศีลธรรม เราควรเดินติดตามพระเจ้าและลงมือปฏิบัติตามพระธรรมของพระองค์
จุดอ่อนในคริสตจักรคือ
เราฟังแต่ไม่ตอบสนอง
เรารู้แต่ไม่ทำเราต้องฝึกปฏิบัติบ่อยๆ
ในสิ่งเล็กน้อยที่เรารู้
(5)คนเลี้ยงแกะเสาะหา และพรพระกุมารเยซูลูกา 2:16
“เขาก็รีบไปแล้วพบนางมารีย์กับโยเซฟและพบพระกุมารนั้นนอนอยู่ในรางหญ้า”
สิ่งที่มีค่าคู่ควรแก่การเสาะหาของมนุษย์ทุกคน คือพระเยซู
ปัจจุบันคนเราเสาะหางาน วัตถุ เงินแม้แต่ทองคำเขาเสาะหา เพราะเขาให้คุณค่าแก่สิ่งเหล่านี้ แต่บุคคลที่เราควรเสาะหามากที่สุดคือ
พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักเรา
และสละพระองค์เองเพื่อเราเสมอไป
บางคนเสาะหารถรุ่นใหม่ๆ ที่จะทำให้เขามีความสุข บ้านหลังใหม่
คู่ครองใหม่ งานใหม่ หรืออะไรใหม่ๆ เพื่อว่าเขาอาจจะมีความสุขมากขึ้น แต่น้อยคนที่จะเสาะหาบุคคลที่เป็น “ราชาแห่งสันติสุข” ที่จะทำให้เขามีความสุขที่แท้จริง 2 โครินธ์ 5:17
“เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”
(6) คนเลี้ยงแกะเมื่อพบพระกุมารแล้วจึงไปบอกแก่คนทั่วไป ลูกา 2:17 “ครั้งเขาได้เห็นแล้ว จึงเล่าเรื่องซึ่งเขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น” สำหรับคนเลี้ยงแกะ การเป็นพยานดูจะไม่ต้องใช้เวลามากมายอะไร ไม่ต้องเตรียมตัว ไม่ต้องอบรม
ไม่ต้องเข้าเรียนในหลักสูตรพิเศษ
เพียงแต่เขาได้รู้ ได้ยินข่าวจากทูตสวรรค์
เพียงแต่เขาได้ไปเห็น พระเยซูจริงๆ
เมื่อเขาได้มีประสบการณ์จริงๆ
เมื่อเขาประสบกับความจริง
เขาก็เริ่มเล่าให้กับคนอื่นฟังทันที
เราลอดคิดดูว่าคนเลี้ยงแกะจะไปเล่าให้ใครที่ไหนฟัง
แน่นอนที่เดียวพวกเขาก็ต้องไปบอกคนในครัวเรือนเดียวกันก่อน เขาคงไปหาเพื่อนบ้าน เพื่อนฝูง พ่อค้าที่เขารู้จัก และเด็กวัยรุ่นในหมู่บ้านเดียวกัน และทุกคนในละแวกบ้านใกล้เรือนเคียง เขาคงต้องใช้เวลาเพื่อการนี้พอสมควร ท่านและข้าพเจ้าก็เช่นกัน เราควรเป็นพยานให้คนอื่นทราบเรื่องพระเยซู
เราสามารถทำได้หลายทางไม่ว่าเราจะมีอาชีพหมอ แม่บ้าน คนทำงาน พนักงานบริษัท
ผู้จัดการ ข้าราชการหรือ ครู
เราสามารถบอกเล่าเรื่องความจริง
เกี่ยวกับราชาแห่งสันติสุขที่เราประสบ
โดยให้หนังสือเขาอ่าน
ให้ใบปลิวที่น่าสนใจ ทั้งแผ่นซีดี หรือแม้แต่หาโอกาสคุยกับเขา แคร์ความรู้สึกเขา สนใจเขา
และสุดท้านพระองค์จะนำเราให้แบ่งปันความสุขนี้แก่คนทั้งปวงได้อย่างมีสันติสุขที่ได้แบ่งปัน
(7) คนเลี้ยงแกะจึงกลับไปขอบคุณ
และสรรเสริญพระเจ้า ลูกา2:20 คนเลี้ยงแกะจึงกลับไปยกย่องสรรเสริญพระเจ้า
เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งเขาได้ยินและได้เห็นดังได้กล่าวไว้แก่เขาแล้ว”พระคัมภีร์ได้บันทึกว่า
คนเลี้ยงแกะก็กลับไป เขาไปไหน
แน่นอนทีเดียวเขาต้องกลับไปทำงานเลี้ยงแกะเช่นเดิม คนเลี้ยงแกะเป็นคนสัตย์ซื่อกับงาน เป็นคนที่ไว้ใจได้ พึ่งพาได้
แม้ว่าเขาจะไปประสบกับเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นที่คนในโลกอยากมีประสบการณ์อีก
พวกเขาได้ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าเช่นเดียวกับเรา เราได้รับอะไรมากมายจากพระเจ้า รับสิ่งดีๆ
และเราเคยขอบคุณพระเจ้าบ้างหรือไม่
หรือว่าลืมพระเจ้าไปเลยเมื่อเราจะก้าวสู่ปีใหม่อีกไม่กี่วันข้างหน้า เราควรใช้ชีวิตของเราในการขอบพระคุณ
และสรรเสริญพระเจ้าให้มากขึ้นในขณะที่เราต้องทำงานมีภาระหน้าที่ของเรา เราต้องสัตย์ซื่อในหน้าที่ แม้งานนั้นจะไม่มีเกียรติมากมายเท่าไหร่ คนทั่วไปมักสนใจและอยากอยู่ใกล้ผู้ที่มีความชื่นชม
ยินดี คนที่น่ารัก คนที่อบอุ่น
คริสเตียนน่าจะเป็นคนที่คนทั่วไปอยากอยู่ใกล้ๆไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพไหนๆก็ตาม เราเป็นคริสเตียนเป็นลูกของพระเจ้า และเป็นคนที่รักพระเจ้า บังเกิดใหม่แล้ว อยู่ภายใต้การอารักขาของพระเจ้า
ฉะนั้นใกล้วันคริสตมาสเราทุกคนต้องแสดงตัวว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าบอกให้ทุกคนรู้ว่าคริสตมาสมีความหมายอย่างไร
และสำคัญอย่างไรกับคริสเตียนทั่วโลก
ในวันคริสตมาสขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานสันติสุขให้กับทุกคน